วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

NVR คืออะไร

#ในส่วนของ IP Camera เราเรียกอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ดังกล่าวว่า NVR (Network Video Recorder)
NVR - ก็สามารถแบ่งออกได้ เป็น 2 ประเภทตามลักษณะการใช้งาน คือ

NVR Appliance - เป็นเครื่อง NVR สำเร็จรูปหน้าตาหมือน NAS (Network Attached Storage) HDD แบบที่ทำงานบนระบบเครือข่าย


NVR Software - บางครั้งเรียก NVR ประเภทนี้ว่า PC Based NVR เนื่องจาก NVR ประเภทนี้เป็นโปรแกรม (Software) ใช้สำหรับติดตั้งเพื่อทำงานบน PC

DVR คืออะไร

* ในกรณีของ CCTV อุปกรณ์ที่ใช้ในการบันทึกภาพและควบคุมการทำงานของกล้องเราเรียกว่า DVR (Digital Video Recorder)

DVR - สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทตามลักษณะการใช้งาน คือ

DVR Appliance - เป็นเครื่อง DVR สำเร็จรูปหน้าตาเหมือนเครื่องเล่น Video


DVR Card - มีลักษณะเป็น Card ใช้ติดตั้งและทำงานบนเครื่อง PC

ถ้าไม่มีเหตุผลจำเป็นใดๆเป็นพิเศษการเลือกใช้ DVR Appliance น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า DVR Card สำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานกล้องแบบ CCTV

IP Camera

IP Camera มันก็คือกล้อง CCTV ที่รวมความสามารถของคอมพิวเตอร์ไว้ในตัวกล้อง เป็นหนึ่งเดียวกัน กล้องไอพี จะเก็บภาพสถานการณ์สดๆ และยิงผ่านไปบน ระบบเครือข่าย IP และอนุญาติให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นเหตุการณ์ จากระยะไกล และสามารถจัดเก็บภาพเหตุการณ์นั้น รวมถึงการควบคุมหรือเซ็ตกล้องผ่านทางระบบ IP ได้
IP Camera จะมี IP Address เป็นของตัวเอง (ค่า Default 192.168.0.99) ให้เราคิดว่า IP Address ก็เหมือนกับบ้านเลขที่ของเรา มันทำให้ใครต่อใครรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน ซึ่งก็เหมือนกับในกรณีของ IP Address ผู้ใช้แค่ทราบ ข้อมูล IP ของกล้องเท่านั้นก็สามารถเรียกดู ข้อมูลภาพจากกล้องได้โดยแค่พิมพ์ IP Address ของกล้องไปบน Intrenet Explorer
IP Camera ไม่จำเป็นต้องต่อกับคอมพิวเตอร์อยู่ตลอดเวลา (ซึ่งจะต่างจากเว็บแคม เพราะมันจำเป็นต้องต่อกับ คอมพิวเตอร์) มันสามารถทำงานได้ด้วยตัวของมันเอง และสามารถที่จะเอาไปติดตั้งที่ไหนก็ได้ ที่มีระบบ Network ที่มากไปกว่านั้นก็คือ กล้อง IP Camera ยังมีฟังก์ชั่นเพิ่มเติมการทำงานอื่นๆ อีกมากมายเช่น
1.ฟังก์ชั่น ตรวจวัดการเคลื่อนไหว หากพบว่ามีสิ่งผิดปกติมันจะถ่ายภาพเก็บไว้หรือไม่ก็ alarm เตือน หรือส่ง mail ไปยังผู้ดูแล
2.ฟังก็ชั่นเสียง กล้อง IP Camera ยังมีความสามารถที่จะส่งข้อมูลภาพและเสียงได้พร้อมกัน (บางรุ่นไม่ Support)
3.ฟังก์ชั่น Input และ Output ซึ่งถือว่าเป็นฟังก์ชั่นอรรถประโยชน์ ผู้ใช้สามารถประยุกต์ได้หลายแบบ
4.ฟังก์ชั่น Serial Port สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการจะเอากล้องไปติดกับตัวคอนโทรล Pan/Tilt

รูปแบบการเชื่อมต่อระบบกล้องวงจรปิด

Analog Camera
o รูปแบบการเชื่อมต่อเป็นแบบ Point to Point ทำให้สายสัญญาณทุกเส้นต้องเชื่อมต่อจากตัวกล้องมายังเครื่องบันทึก (DVR) เสมอ


Digital Camera
o ใช้รูปแบบการเชื่อมต่อแบบเดียวกับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์


ข้อสังเกตุ
*เนื่องจากกล้องแบบ Analog มีการเชื่อมต่อสัญญาณเป็นแบบ Point to Point ทำให้การติดตั้งกล้องในระยะไกลจะมีค่าใช้จ่ายในการเดินสายสัญญาณสูงกว่าการ ติดตั้งกล้องแบบ Digital เพราะต้องเดินสาย 1 เส้นต่อกล้อง 1 ตัว
*สำหรับกล้องแบบ Digital สามารถลากสายสัญญาณหลัก 1 เส้นออกจาก Router ไปยัง Network Switch ที่อยู่ปลายทางแล้วเดินสายสัญญาณต่อเนื่องไปยังกล้องแต่ละตัวได้
*หรือติดตั้ง Outdoor Antenna เชื่อมต่อไปยังกล้อง Digital แบบ Wireless ได้

กล้องวงจรปิดแบบต่างๆ

กล้องวงจรปิดมีอยู่มากมายหลายแบบให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม แต่บ่อยครั้งที่ลูกค้ายังสับสนและไม่เข้าใจว่ากล้องแต่ละประเภทแตกต่างกัน อย่างไร เหมาะกับการใช้งานแบบไหน บางทีแนะนำตัวที่เหมาะสมให้แต่ราคาก็อาจจะแพง ลูกค้าก็ไม่เข้าใจ หาว่าเราเชียร์ให้ซื้อของแพงไปซะงั้น แต่จริงๆแล้วมันคุ้มค่ากว่ากันเยอะ เพราะถ้าเอากล้องที่ไม่ตรงกับความต้องการไปใช้ก็เท่ากับเป็นการลงทุนที่เสีย เปล่า
การแบ่งประเภทกล้องจากรูปร่าง
• Fixed - เป็นกล้องที่เวลาใช้งานจะถูกกำหนดให้มีมุมมองที่ตายตัว หากต้องการปรับมุมมองใหม่ผู้ใช้ก็ต้องไปปรับหามุมมองใหม่เอง มีทั้งเป็นทรงเหลี่ยม (Box Camera) และทรงกระบอก (Bullet Camera)
• P/T/Z - เป็นกล้องที่สามารถควบคุมและปรับมุมมองได้จากโปรแกรมควบคุมการทำงาน ประกอบด้วยฟังก์ชั่นการทำงานพิเศษ 3 ส่วน คือ
o P = Pan - หมุนซ้าย/ขวา
o T = Tilt - ก้ม/เงย
o Z = Zoom - ย่อ/ขยาย
o เวลาซื้อกล้องประเภทนี้กรุณาตรวจสอบให้ดีว่ากล้องที่ต้องการนั้นมีฟังก์ชั่น การทำงานครบทั้ง 3 ส่วนหรือไม่ เพราะกล้องบางรุ่นอาจมีฟังก์ชั่นการทำงานพิเศษมาให้เพียง 2 ส่วนคือ P/T
• Dome - เป็นกล้องที่มีลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลม ถ้าสังเกตุให้ดีกล้องประเภทนี้ก็คือการนำกล้องแบบ Fixed หรือ P/T/Z อย่างใดอย่างหนึ่งมาใส่ใน Housing รูปครึ่งวงกลมนั่นเอง โดยเราสามารถแบ่งกล้อง Dome ออกได้อีกเป็น 3 แบบ คือ
o Fixed Dome = Fixed + Housing รูปครึ่งวงกลม
 กล้อง Dome ที่ถูกกำหนดให้มีมุมมองที่ตายตัว หากต้องการปรับมุมมองใหม่ผู้ใช้ก็ต้องไปปรับหามุมมองใหม่เอง
o Mini Dome = P/T/Z + Housing รูปครึ่งวงกลม
 กล้อง Dome ที่สามารถควบคุมและปรับมุมมองได้จากโปรแกรมควบคุมการทำงาน
 มีข้อพึงระวังในการซื้อเหมือนกล้องแบบ P/T/Z
o Speed Dome = Mini Dome ที่มีความเร็วในการ หมุนซ้าย/ขวา (Pan) และ ก้ม/เงย (Tilt) สูงกว่า Mini Dome ทั่วไป

กล้องวงจรปิด (Closed Circuit Television/CCTV)

กล้องวงจรปิด (Closed Circuit Television/CCTV) สามารถแบ่งตามรูปแบบของสัญญาณที่ใช้ในการรับ-ส่ง ข้อมูลได้ 2 แบบ คือ
Analog Camera - กล้องที่ใช้รูปแบบของสัญญาณในการรับ-ส่งข้อมูลเป็นแบบ Analog
Digital Camera - กล้องที่ใช้รูปแบบของสัญญาณในการรับ-ส่งข้อมูลเป็นแบบ Digital
แต่เนื่องจากความคุ้นเคยทำให้เราเรียกกล้องวงจรปิดแบบ Analog ว่า CCTV ส่วนกล้องวงจรปิดแบบ Digital ก็มักถูกเรียกว่าเป็น IP Camera ทั้งที่ในความเป็นจริงกล้องทั้ง 2 ประเภทต่างเป็นกล้องวงจรปิดด้วยกันทั้งคู่ โดยทั่วไปการใช้ งานกล้องทั้ง 2 ประเภท ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก เช่น
• ใช้ในการเฝ้าดูเหตุการณ์ ต่างๆ (Monitoring)
• ใช้ในการบันทึกภาพ เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น (Recording)
แต่จะเริ่มเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อมีการใช้งานที่จำ เป็นต้องใช้ความสามารถพิเศษเพิ่มขึ้น เช่น
• การตรวจจับความเคลื่อน ไหว (Motion Detcction)
• การนับจำนวนวัตถุ (Counter)
• การตรวจจับควันและเปลวไฟ (Fire and Smoke Detection)
เนื่องจากในปัจจุบันได้มีการพัฒนาทั้งในส่วนของโปรแกรมและอุปกรณ์เสริมเพื่อ ทำให้กล้องวงจรปิดแบบ Analog สามารถใช้งานในรูปแบบต่างๆได้เหมือนกับกล้องวงจรปิดแบบ Digital แต่ก็คงต้องยอมรับความจริงกันว่ามันเป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยจะคุ้มค่าเท่า ไหร่ เพราะเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้ระบบกล้องวงจรปิดสามารถทำงานในรูปแบบพิเศษ เหล่านั้นได้ก็คือ รูปแบบของข้อมูลที่ระบบนำมาใช้นั้นต้องเป็นแบบ Digital แล้วในเมื่อมีกล้องแบบ Digital ให้เราเลือกใช้งานอย่างมากมายหลายรุ่นหลายยี่ห้อในปัจจุบันอยู่แล้ว เหตุผลอะไรล่ะที่จะทำให้เราต้องไปเลือกซื้อหากล้องแบบ Analog มาใช้งาน

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ความพร้อมก่อนการลงทุน VoIP

ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยี VoIP นับเป็นหนึ่งในบริการที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยความสามารถในการจัดการที่เหมือนข้อมูลดิจิตอลชนิดอื่น การใช้ VoIP จึงช่วยให้การติดต่อสื่อสารทำได้สะดวก ประหยัด และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามการติดตั้งและใช้งาน VoIP ก็ยังมีจุดที่ต้องคำนึงถึง ซึ่งประกอบด้วย ความเชื่อถือได้ ความปลอดภัย และผลตอบแทนในการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะการใช้เทคโนโลยีใหม่นั้นมีทั้งค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์ติดตั้ง ฝึกอบรม และดูแลรักษา ซึ่งในกรณีนี้การวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายอย่างละเอียดนับเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกองค์กร ซึ่งมีหลายขั้นตอนและแต่ละขั้นตอนก็มีวัตถุประสงค์และผลลัพธ์ที่แตกต่างกันดังนี้

1. การวางแผน เป็นการวิเคราะห์ในแง่ความต้องการของแอพพลิเคชั่นในปัจจุบันและอนาคต ควรพิจารณาว่าการเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีใหม่จะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ จากนั้นก็ทำการวางแผน ประเมินผลการจัดการ และควรวิเคราะห์ด้านการเงินและผลตอบแทนจากการลงทุน จะใช้เป็นเครื่องบ่งชี้ได้ว่าองค์กรควรจะดำเนินกลยุทธ์ใดกับเทคโนโลยี VoIP นี้

2. พิจารณาค่าใช้จ่ายเริ่มต้น ในการใช้ VoIP นั้นมีค่าใช้จ่ายหลัก ๆ คือ เงินลงทุนกับค่าใช้จ่ายในการออกแบบระบบ สำหรับค่าใช้จ่ายในการออกแบบระบบเป็นเงินที่ต้องจ่ายให้กับพนักงานที่วิเคราะห์ ออกแบบ ติดตั้ง รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการเริ่มใช้และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์ VoIP ส่วนเงินลงทุนเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการซื้ออุปกรณ์ IP PBX รวมทั้งอุปกรณ์เน็ตเวิร์กอื่น ๆ ค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์ระบบจะอยู่ที่ 20,000-50,000 ดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับขนาดขององค์กร ดังนั้นจึงควรพิจารณาผลกระทบในแง่ของประสิทธิภาพและประโยชน์ที่จะได้รับด้วย

3. คำนวณค่าใช้จ่ายที่ประหยัดได้จากค่าโทรศัพท์ทางไกล ระบบ VoIP นั้นสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการโทรศัพท์ทางไกลได้เป็นอย่างมาก ซึ่งก็เป็นจุดที่ทำให้องค์กรได้ผลตอบแทนจากการลงทุนกลับมา ดังนั้นผู้ดูแลระบบจำเป็นต้องบันทึกและเปรียบเทียบการใช้งานอย่างใกล้ชิด โดยทั่วไปค่าการโทรศัพท์ระหว่างประเทศโดยการใช้ VoIP จะมีค่าใช้จ่ายน้อยลง 20 – 40 เปอร์เซ็นต์ต่อนาที เมื่อเทียบกับการใช้บริการปกติ

4. ค่าใช้จ่ายที่ประหยัดได้จากการประชุมทางไกลด้วยเสียงและวิดีโอ ทั้งออดิโอและวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้องค์กรได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในระบบ VoIP โดยทั่วไปองค์กรสามารถคืนทุนในการใช้ระบบคอนเฟอเรนต์ผ่านเน็ตเวิร์ก IP ได้ในเวลา 4-12 เดือน เมื่อเทียบกับบริการผ่านโทรศัพท์ปกติ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งานด้วย

5. ค่าใช้จ่ายที่ประหยัดเนื่องจากการย้าย เพิ่ม และเปลี่ยนระบบ หนึ่งในข้อดีของ VoIP ก็คือ การย้าย เพิ่ม หรือเปลี่ยนระบบสามารถทำได้สะดวก เนื่องจากเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนอุปกรณ์หรือการตั้งค่าเท่านั้น ทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์

6. ค่าใช้จ่ายในส่วนของบุคลากร การใช้ระบบ VoIP ที่ทำงานบนระบบเน็ตเวิร์ก IP ผู้ดูแลสามารถเรียนรู้และปฏิบัติได้ในเวลาไม่นาน นอกจากนั้นวิธีการจัดการและเครื่องมือที่ใช้จึงไม่แตกต่างกันมากนัก ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีบุคลากรเพิ่ม บางแห่งยังสามารถลดจำนวนของพนักงานได้อีกด้วย เช่น แทนที่จะต้องใช้พนักงานรับโทรศัพท์ 10 คนในทุก ๆ สาขา การใช้ระบบ VoIP ช่วยให้องค์กรใช้พนักงานเพียงแค่ 5 คนรวมกันอยู่ในที่สำนักงานแห่งเดียวเท่านั้น

เครดิต : พ.อ.รศ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ